RINYAPAT's pick(s) 2014

(make up items only!)
จริงๆแล้วเขียนไว้ตั้งแต่ต้นปี (โพสต์ลงใน facebook กับลงกระทู้ไว้ใน jeban)
http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=196146
แต่ไม่ได้มีโอกาสทำบล็อกเก็บไว้กับเค้าซักที ไหนๆก็เปิดบล็อกมาไว้เขียนเล่านู่นเล่านี้แล้ว ถือโอกาสรวมข้อมูลทั้งหมดมาเก็บไว้ในนี้เลยแล้วกันเนอะ จะได้เก็บไว้ดูเป็นข้อมูลได้สะดวกหน่อย
ในนี้จะมีการแก้ไขข้อความเล็กน้อย คือมีพิมผิดนิดๆหน่อยๆ แล้วก็ยังไม่ได้แก้ ก็มาแก้ในนี้ทีเดียวเลย รวมทั้งเดี๋ยวจะมาเพิ่มเติมในส่วนของราคาให้ แต่ยังไม่ครบทุกตัวนะ ^^'



Nars pro-prime smudge proof eye shadow base
มาถึงตอนนี้ยังมีใครทาตาโดยไม่ใช้อายไพรเมอร์ลงก่อนมั้ยอ่ะ คุณสมบัติทั่วไปของ eyeshadow base เนี่ยหลักๆเลยก็ทำให้สีชัดเจนขึ้น ติดทนนานขึ้น แก้ไขปัญหาสีตาเป็นคราบระหว่างวัน คือถ้าเปลือกตามันมากจริงๆ มันก็มีระยะเวลาในการคุมมันที่เปลือกตาพอสมควร ไม่ถึงกับขนาดนี้ว่าแต่งตาตั้งแต่ตีห้า เที่ยงคืนยังไม่เป็นคราบมันก็เป็นไปไม่ได้อ่ะ มันก็อาจจะคราบขึ้นมาบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย ปกติเราแต่งหน้าตอนเช้าเลย ตอนกลางคืนกลับมาบ้านมาสองสามทุ่มมันก็ยังอยู่ดี ไม่ขึ้นคราบนะ อ่ะฝอยมามากพอแล้ว เข้าเรื่องๆ.. ยี่ห้อเคยได้ลองก็มี Urban decay, Too faced, Lime crime ทั้งสามตัวนี้ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่มันยังไม่ใช่ที่สุด texture ค่อนข้างคล้ายกันหมด มีสีเนื้อเหมือนกันทั้งสามตัว ส่วนตัวคิดว่าทั้งหมดนี่เนื้อยังหนาไปนิด และบางตัวถ้าเกลี่ยไม่ดีก็เป็นคราบแบบน่าเกลียดเลยแหล่
มาพูดถึงตัวที่เข้าวินดีกว่า nars เนี่ยจะมี texture ที่ต่างออกไปเลย คือเป็นเหมือนเบสซิลิโคนสีขาว (เกลี่ยลงไปเปลือกตาจะสว่างขึ้นเล็กน้อย) จุดที่สำคัญที่ทำให้ตัวนี้มาวินคือ เนื้อมันบางสุดในบรรดาทุกตัว เกลี่ยง่ายไม่เป็นคราบ และคุมความมันบนเปลือกตาได้ยาวนานที่สุดในบรรดาสิ่งที่ลองมา อันนี้คือแท่งที่สามในชีวิตแล้วอ่ะ ตัวนี้นี่ swear by ค่ะ ใช้ทุกวัน วันที่แต่งหน้าเบา ทาตาสีเดียวก็ใช้
ถามว่าจำเป็นมั้ยสำหรับทุกคน : ถ้าไม่ได้เป็นมนุษย์แต่งตาเยอะ แต่งหน้าไม่มาก เปลือกตาไม่มันเลย ไม่ต้องก็ได้ค่ะ แต่สำหรับมนุษย์เปลือกตามันแบบเรา หรือคนที่ชอบแต่งตา อยากให้สีชัดๆสวยๆ ไม่เป็นคราบ ตัวนี้คือ must have นะ แนะนำเลย ใช้แล้วจะติดพูดจริงๆ


Corrector & Concealer
Giorgio Armani Corrector :
อันที่จริงไม่แน่ใจว่าจุดประสงค์ของอันนี้ทำมาเพื่อใช้ยังไงนะ แต่ส่วนตัวใช้เป็น corrector ก่อนที่จะลง concealer เพราะว่าสีค่อนข้างชมพูชัดเจน pigmented ประมาณนึง ทำให้มันทำหน้าที่ corrector ได้ดีมาก
เคยอ่านเรื่องทฤษฎีสีกันมั้ย เรื่องนี้เอามาใช้กับเมคอัพได้ด้วยนะ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพเช่น ใครที่มีรอยสิวสีแดง ให้ลองใช้ corrrector ที่มีเขียวลงก่อนบางๆหนึ่งรอบเพื่อปรับสีก่อน แล้วให้ลงคอนซีลเลอร์ที่มีเฉดใกล้เคียงกับผิวที่สุดลงตามไปอีกที คราวนี้เนียนกริ๊บเลย ไม่มีใครรู้ว่าเป็นสิว ให้ใช้ในกรณีที่คอนซีลเลอร์เดี่ยวๆปิดไม่มิดนะ ถ้าคอนซีลเลอร์เดี่ยวๆปิดมิแล้ว ตัวคอเรคเตอร์ก็ไม่จำเป็น แต่ขอให้จำไว้ให้ขึ้นใจเลยว่ารอยแดงรอยดำปิดได้ แต่ความนูนของสิวเนี่ย ปิดไม่ได้นะ
ในไทยซื้อได้ที่ king power รางน้ำ ไม่แน่ใจว่าจริงๆมีกี่เฉด น่าจะ 4 นะ แต่ที่รางน้ำมีสองเฉดคือสีออกชมพูกับสีเนื้อ วิธีเลือกว่าเราควรใช้สีไหน ให้ดูว่าใต้ตาเราคล้ำเขียวหรือคล้ำม่วงจากเส้นเลือด เอาจริงๆก็ดูไม่ค่อยออกกันหรอก ดูออกแต่ว่าใต้ตามันคล้ำ 5555555 คำแนะนำที่ง่ายที่สุดว่าเราเหมาะกับสีอะไรคือ ลองข้างละสีค่ะ แล้วดูว่าข้างไหนดีกว่ากัน ให้คนที่ไปด้วยช่วยดูให้ก็ได้ ถ้าไปคนเดียวก็ส่องกระจกเอาละกันโน๊ะ -3-

ถามว่าจำเป็นมั้ย : ถ้าไม่ได้มีรอบคล้ำใต้ตาที่คอนซีลเลอร์ตัวเดียวปิดไม่อยู่ ตัวนี้ก็ไม่จำเป็นนะ ข้ามๆมันไปบ้างก็ได้ heart emotiNars creamy concealer สี custard, ginger :

Nars Radiant Creamy Concealer :
หลอดที่สองแล้ว จริงๆมีตัวอื่นที่ชอบมากเหมือนกัน แต่ถ้าพิจารณาในเรื่องคุณสมบัติกับราคาแล้ว nars มาวินนะ เพราะสิ่งที่เหลือที่ชอบราคาแพงกว่า nars ไปอีกเท่าตัว แถมบางตัวหาซื้อไม่ได้ในไทยอีก (อ่ะที่ชอบตัวอื่นนะคือ Cle de peau, impress, becca ไม่รู้จะแพงไปไหน มีไว้ให้อุ่นใจ แต่หักคะแนนเพราะแพง 5555) texture ของ nars มีความ creamy สมชื่อ ไม่แห้ง ไม่เป็นคราบ ไม่ตกร่อง เหมาะกับการใช้ใต้ตาเป็นอย่างยิ่ง ถามว่าทำไมมีสองสี บางวันแต่งหน้าแบบหน้าผ่องหน่อยจะใช้สี custard บางวันแต่งหน้าแบบพอดี๊พอดีผิวจะใช้สี ginger หมดแล้วก็คิดว่าจะซื้อต่อ แต่ก็ยังจะทดลองหาของใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะเรารักคอนซีลเลอร์ 

ยกตัวอย่างมาพอเข้าใจแล้ว จะรีวิวตัวนี้ให้ฟัง คือที่ชอบเพราะว่าเราเป็นมนุษย์ใต้ตาคล้ำมากเนื่องจากเป็นภูมิแพ้ ครีมและเลเซอร์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เออแต่ถ้าใครบอกว่ามี ช่วยชี้ทางด้วย 5555 คือมันเกินเยียวยาละ ก็เลยใช้คอเรคเตอร์ตัวนี้แหล่ะปรับสีที่ใต้ตาก่อน แล้วค่อยใช้คอนซีลเลอร์ลงทับอีกที คราวนี้ล่ะ ใต้ตาสว่างสดใสเลย ถามว่าตัวนี้ดียังไงทำไมถึงชอบ (ขึ้นหลอดสามแล้วเช่นกัน) คือเคยใช้ยี่ห้อดังอีกยี่ห้อมามา เรารู้สึกเลยว่าตัวนี้เนื้อมันบางกว่า และ pigmented กว่าแค่นั้น ไม่ตกร่องและไม่เป็นคราบใต้ตาด้วย ลงตัวนี้ตัวเดียวก็เห็นแล้วอ่ะว่ารอยคล้ำๆใต้ตามันดีขึ้นเลย พยายามอย่าเลือกใช้อะไรที่หนานะ ยิ่งหนามันจะยิ่ง cakey เน้นริ้วรอยใต้ตา ยิ่งตกร่องเข้าไปใหญ่ คราวนี้น่าเกลียดกว่าเดิมอีก ยิ้มทีนี่เห็นเป็นแป้งๆแตกๆนี่ไม่เก๋นะคะ

วิธีใช้ส่วนตัว : ไม่ชอบใช้นิ้วเกลี่ยคอนซีลเลอร์ใต้ตาเท่าไหร่ เพราะไม่ชอบให้นิ้วเลอะเทอะ ถ้าเลอะเทอะทีนึงก็ต้องเข้าห้องน้ำไปล้างทีนึงก่อน ไม่งั้นแต่งหน้าต่อไม่ได้ ไม่ชอบให้มือเลอะๆไปจับเครื่องสำอางตัวอื่นต่อ ไม่งั้นคสอ.ตัวอื่นก็จะมอมแมมไปด้วยคราบรองพื้น คราบแป้ง ซึ่งส่วนตัวไม่โอเคมากๆ ส่วนนึงที่ชอบทั้งสองตัวนี้เพราะแพคเกจด้วย เป็นแท่งๆละหมุนออกมา แล้วเอา applicator ของมันป้ายไปที่ใต้ตาเลย นิ้วไม่ต้องเลอะเสร็จแล้วเอาฟองน้ำเกลี่ย โดยการกดย้ำๆลงไปจนเนียนไปกับผิว ไม่ปาดไปปาดมา เนียนกริ๊บ เริ่ด!



Eye Brow
Cosluxe pencil eye brow #caramel :
ตัวแรกปีนี้ที่ยกให้เป็นไอเท็มถูกและดี มาในราคา 200บาทบวกลบเล็กน้อย มีสามสีให้เลือก แต่เราเลือกสีอ่อนสุดมา ส่วนตัวคิดว่าถ้าย้อมผมสีอ่อนกว่านี้ สีนี้ก็ยังเข้มไปนิด ถ้ามีเฉดเยอะกว่านี้จะเลิฟมั่กๆ ด้านนึงเป็นที่ปัดคิ้ว ซึ่งไม่ค่อยได้ใช้หรอก แข็งไปหน่อย แต่ทีเด็ดมันอยู่ตรงที่ด้านดินสอเขียนคิ้วที่เป็นหมุนๆนั่นแหล่ะ มันดีงามมากๆ เพราะหัวเล็ก จิกเส้นได้เป๊ะสุดๆ สามารถใช้เติมดีเทลเล็กๆน้อยๆได้เนี๊ยบเป๊ะ ไม่เลอะเทอะเพราะหัวมันเล็กไง ชอบเอาไว้เติมใต้ท้องคิ้วให้คิ้วดูหนาขึ้นอีกหน่อย มันเติมได้พอดีเลยโดยไม่หนาเกิน ไม่พลาดด้วย สีติดง่าย ติดทน แต่ถ้าจะเอามาระบายทั้งคิ้วคงใช้เวลามากกว่าพวกหัวใหญ่ๆ แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาค่ะ เราเอาไว้เก็บรายละเอียดเฉยๆ ชอบแค่ไหนไม่ต้องบอก รู้แต่ขาดตลาดไปพักนึง พี่นี่รีบตุนเลยค่ะ คราวนี้ขาดตลาดก็ไม่กลัว ตุนไว้แล้วห้าแท่ง บร๊ายยยส์~

Illamasqua eye brow cake #peek :

ที่เขียนคิ้วเนื้อเค้ก อย่าเพิ่งงงว่าเนื้อเค้กคืออะไร เพราะตอนแรกเราก็งง ที่จริงมันก็คือเนื้อฝุ่นอัดแข็งแต่ pigment แน่นกว่า ออกสีชัดเจน(ผู้รู้โปรดแจ้ง อันนี้มั่วเอาเองจากการใช้ ^^') ที่ซื้อมาเพราะสีมันเข้ากับสีผมเราสุดๆ เพราะชอบทำผมสีน้ำตาลอมเขียว สีผมเฟดก็ยังเข้ากับที่เขียนคิ้วอันนี้ ไปทำสีอื่นทีไร สุดท้ายก็มาตายรังที่สีนี้ทู๊กที พอได้ทดลองใช้ดูแล้วต้องบอกเลยว่ามันดีมาก เม็ดสีชัดแน่นกว่าแบบฝุ่นทั่วๆไป เอาแปรงจิ้มนิดเดียวสีก็ติดชัดแล้ว ติดทน ติดแน่นเช่นกัน อันนี้เราเอาไว้ระบายทั่วคิ้วแหล่ะ สะดวกดี บางยี่ห้อที่เป็นเนื้อฝุ่นนะฝนแปรงไปเหอะ กว่าสีจะติด เล่นเอาเหนื่อยทีเดียว ชอบแค่้ไหนให้ดูจากภาพ hit pan อ่ะค่าา :D

Maybelline brow mascara สี dark brow :

มาสคาร่าปัดคิ้ว ย้อมคิ้วให้เป็นสีเดียวกับคิ้ว ไม่มีก็ได้ ไม่เป็นไร ถ้าจะใช้ก็เพิ่มความเป๊ะดี คนที่มีเส้นคิ้วหนาๆคิ้วเยอะๆควรมีนะ ไม่งั้นเขียนคิ้วสีน้ำตาล แต่เห็นเส้นขนเป็นสีดำ มันจะดูไม่เนียน ชอบที่มันเป็นหัวกลมๆตุ้มๆแบบนี้ มันทำให้ปัดง่ายขึ้นไม่เลอะเทอะ สะดวกมากๆ ที่สำคัญคือไม่แพง หาซื้อง่ายมาก ราคาน่าจะสามร้อยกว่าบาท (ถูกและดี no.2)


Eye liner
Cosluxe liquid eyeliner :
ปีที่ผ่านมาสำหรับเรา แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่ทำเครื่องสำอางออกมาได้ถูกใจหลายตัวนะ ทำคะแนนได้ดีเลยทีเดียวอายไลเนอร์ก็เหมือนกัน ให้เป็นถูกและดีตัวที่สามในลิสต์ละ จับง่าย ถนัดมือ กันน้ำ คือมันมาในลักษณะของปากกาที่มีปลายเรียวแหลมเหมือนพู่กัน คิดว่าสำหรับมือใหม่ตัวนี้เป็นตัวนี้น่าจะเป็นตัวเริ่มต้นที่ดี มันบังคับเส้นได้ง่ายมากๆเลย เส้นออกมาก็เงาๆตามสไตล์ของลิควิดไลเนอร์ จริงๆมีดีหลายตัวเลย แต่ที่ยกให้ตัวนี้เพราะว่ามันราคาไม่แพง น่าจะสองร้อยกว่าบาท อายไลเนอร์เราเปลี่ยนบ่อยๆอยู่แล้วเพราะมันหมดเร็ว ถ้าเขียนทุกวันใช้แป้ปๆก็หมด ไม่ต้องแพงมากหรอก เชื่อน้องเถอะ! คือไม่ใช่ว่าเราจะใช้ของแพงทุกตัวนะ คือบางตัวอย่างเช่นอายไลเนอร์ มาสคาร่าใช้ทุกวันแปปเดียวก็หมดแล้ว ดังนั้นไม่ต้องแพงมากก็ได้ ขอแค่ไม่เลอะให้น่าเกลียด แค่นี้เราก็โอเคแล้วอ่ะ อีกอย่างอายุของอายไลเนอร์และมาสคาร่าค่อนข้างสั้นกว่าเครื่องสำอางชนิดอื่น เลยคิดว่าประหยัดในส่วนนี้ดีกว่า

Shu uemura pencil eyeliner :

ตัดสินใจยากมาก ลังเลอยู่นานว่าจะให้อายไลน์เนอร์ดินสอตัวไหนเข้าวิน ระหว่าง cosluxe กับ shu สุดท้ายขอให้ shu ละกันเนอะ ด้วยเหตุผลที่ว่าสีที่มีหลากหลายมากกว่า คือราคาต่างกันพอสมควร ไม่แน่ใจว่า shu จะราคาเกือบพันหรือเปล่า cosluxe นี่อยู่ที่สองร้อยบวกลบ เนื้อนิ่ม เขียนง่าย ติดทนนานทั้งคู่ แต่ของ shu นิ่มกว่า และเท่าที่ลองดินสอมาหลายๆยี่ห้อของ shu ตอนนี้มาวินเรื่องความนิ่มของเนื้อดินสอเลย และถ้าพูดถึงความหลากหลายของสีขอยกให้ shu เลย ไม่ใช่ว่าเราจะใช้พวกสีน้ำเงิน สีฟ้าอะไรแบบนี้นะ ในที่นี้ขอพูดถึงสีน้ำตาลละกัน shu เนี่ยมีสีน้ำตาลอ่อนในเฉดที่เราอยากได้พอดี คือไม่อ่อนไม่เข้มจนเกินไป เอามาเขียนตรงหางตาล่างหรือวันไหนอยากใสๆก็เอาตัวนี้มาเขียนขอบตาบนแทนอายไลเนอร์สีดำแล้วเกลี่ยให้ฟุ้งๆ ก็จะได้ลุคที่ดูไม่ดุจนเกินไป เพราะสีน้ำตาลไม่เข้มไปนั่นเอง มันเป็นสีที่พอดีสำหรับเรามากๆๆๆ เวลาจะแต่งหน้าลุคหวานๆ จะใช้ตัวนี้แทนลิควิดอายไลเนอร์ทุกครั้ง เนื้อนิ่มสุดๆ นิ่มกว่า cosluxe ฉะนั้น shu ชนะค่ะ! ให้คะแนน 10/10/10 ไปเล้ย

ปล. สำหรับเราไม่แพนด้า ไม่เยิ้มนะ แต่ก็ยังไม่เคยแอดเวนเจอร์ถึงขั้นแบบไปออกกำลังกายเหงื่อท่วมๆแล้วเอาไปทดลอง -_- ถ้าคนที่เปลือกตามันมากๆๆ หรือมีร่องน้ำตา ก็ไม่แน่ใจว่าจะแอบเลอะนิดๆมั้ย เพราะขอยืนยันว่าไม่มีดินสอตัวไหนในโลกที่ไม่แพนด้า มีแต่แพนด้าน้อยมากที่สุด กับโคตรแพนด้า 55555 สำหรับเรามันผ่านอ่ะ ซื้อต่อแน่นอน จะไปถอยสีน้ำตาลอีกเฉด กับสีมุกๆ

สรุป : มองหาสีที่หลากหลายมากๆและเรื่องราคาไม่ใช่ปัญหา go to เคาน์เตอร์ลุงชูเลยจ้า แต่ถ้าเอาแค่สีเบสิคๆดำ น้ำตาลเข้ม และอยากเซฟไรงี้ cosluxe พอ ตอบโจทย์ เออ cosluxe มีสีออกชมพูตุ่นๆอ่อนๆด้วยนะ เอามาเขียนหัวตาก็ทำให้ตาดูสดใสดี



Eyelash Adhesive
พูดถึงแบรนด์นี้เยอะจริงๆ เงินก็ไม่ได้ เสียเงินเองล้วนๆ นี่ชอบจริงนะ ชื่มชมเจ้าของแบรนด์จริงๆที่ทำของดีมีคุณภาพในราคาไม่แพงมาให้ใช้กัน (นี่เป็นถูกและดีตัวที่เท่าไหร่แล้วนะ สี่ป่ะ? เออสี่แหล่ะ 55555)
ชอบกาวลักษณะหัวจิ้มจุ่มแบบนี้เพราะมันพอดี๊พอดีกับการเอามาทาที่แกนขนตา เจอกาวหลอดๆทีไรบีบออกมาเกินทุกที เค้าเสียดาย T____T ที่ปีนี้ยกให้ตัวนี้เพราะว่ามันดีจริง แถมไม่แพง ตอนแรกไปปลาบปลื้ม DUP แบรนด์ของญี่ปุ่นที่เค้าว่าชมพู่อารยาก็ปลาบปลื้มอยู่พักนึง เออจะบอกว่ามันดีจริงๆนะ มันเป็นกาวลักษณะน้ำๆ ไม่ใช้แห้งแล้วเป็นยางๆยืดๆ ที่ติดทนมาก ไม่ระคายเคืองตาเลย ทีนี้มีวันนึงเกิดอยากลองซื้อ Cosluxe มาลองเล่นดู เพราะว่าแบรนด์นี้เค้าเริ่มจากการผลิตขนตาใช่มะ ละค่อยๆแตกไลน์มาเป็นพวกที่เขียนคิ้ว กาว อายไลเนอร์ไรงี้ เราก็นะว่าเออมันน่าจะดี ราคาก็ไม่แพง ไม่ดีก็ไม่เป็นไร คืออย่างน้อยถ้าดีเนี่ย มันก็หาซื้อได้ง่ายๆในไทย DUP มันต้องไปซื้อที่ญี่ปุ่นแหน่ะ ไม่ก็ร้านพรีออเดอร์ไรงี้ จริงๆนิสัยเราอ่ะ เราชอบซื้อแบบเดินไปซื้อเลยนะ เจอของจริงซื้อเลย ขี้เกียจรอไปรษณีย์อ่ะ อยากได้ปุ๊ปต้องได้เลย พอได้ลองวันแรกปุ๊ปก็แบบ เฮ้ยยยมันดีอ่ะ นี่มันเป็นตัวตายตัวแทน DUP ได้เลยนะ เนื้อสีขาว ที่พอกาวแห้งแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีใสๆไม่เป็นคราบ แห้งเร็ว ติดทนนาน เป็นเนื้อน้ำเหมือน DUP เลย แต่ติดทนน้อยกว่าหน่อย ที่สำคัญเป็นของคนไทยที่หาซื้อง่ายและไม่แพงเลย นี่ก็หลอดที่สองละ ถ้าไม่เจออะไรที่ดีกว่านี้ ก็จะซื้อใช้ต่อไปเรื่อยๆ

มีอีกตัวที่อยากแนะนำสำหรับคนที่ชอบกาวลักษณะที่พอตอนแกะกาวออกจากขนตามันจะเป็นลักษณะยางๆ ยืดๆ แกะง่าย ที่แนะนำคือ Koji นะ(เดี๋ยวมาเพิ่มรูปให้ทีหลัง ชอบมากกก) สีดำ สีขาวก็มีแหล่ะ แต่ชอบสีดำ ตัวนี้ก็แห้งเร็วเหมือนกัน ส่วนเรื่องความติดทนกาวแบบน้ำๆจะติดทนกว่า แต่ก็แกะกาวออกจากแกนขนตาได้ยากกว่าเหมือนกัน ลองเลือกดูตามความเหมาะสมเนอะ


Single eye shadow
Lunasol eye shadow ตลับเดี่ยว #Sheer light beige
เหมือนมันจะไม่มีใครพูดถึงเท่าไหร่ แต่เอาจริงๆมันเป็นเรื่องยากมากนะ ที่เราจะใช้พวกอายแชว์โดว์ หรือบลัชออนแล้วมัน hit the pan อ่ะ คืออันนี้มันยิ่งกว่านั้น คือตลับแรกหมดแล้วจ้าาาา และขึ้นตลับสองไปแล้ว (อัพเดท ณ ตอนนี้ ตลับที่สองก็ใช้ไปครึ่งนึงแล้ว) ไม่อยากจะเชื่อเลย ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบอะไรมากนะ (อ้าวแล้วซื้อมาทำไมวะ 5555) ไปๆมาๆชอบว่ะเท๊ออออ คืองี้นะ เนื้อมันไม่ได้เป็นสีขาวจั๊วะ แต่ก็ไม่ได้เป็นสีครีม คือมันออกขาวครีมที่มีชิมเมอร์ละเอียดๆอยู่ พอทาออกมาแล้วเนี่ย มันไม่วาวจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้แมทซะทีเดียว คือเงาขึ้นนิดเดียว แบบนิดเดียวจริงๆ เพราะเนื้อมันค่อนข้างบางเบาอ่ะ เลยไม่ค่อยเห็นสี แต่ชอบ

ถามว่าทำไมถึงชอบ คือมันเอามาไล้ใต้หางคิ้วเพื่อขับให้คิ้วดูเด่นขึ้นได้ธรรมชาติมากๆ คือถ้าจะใช้อายแชว์โดว์ตัวอื่นมาทำแบบนี้ บางทีมันวาวเกินไป วาวจนแบบคิ้วดูยกมาก เด่นเกิน และเด่นเกินขนาดนั้น ในชีวิตประจำวันก็ใช่ว่าจะดูสวย จริงมั้ยล่ะ อันนี้มันธรรมชาติจริง สวยจริง นี่บอกเลยว่าอันนี้คือตัวจริง ใช้ทุกวันยังหาตัวตายตัวแทนมาไม่ได้ ยังคิดอยู่ว่าเออมันไม่ค่อยฮิต เข้าใจแหล่ะว่าถ้าเอามาทาตาสีเดี่ยวๆอาจจะดูไม่ปังมากเท่าไหร่ เพราะวิ้งน้อยไปนิด แต่ขอบอกเคล็ดลับอีกอย่างนึง เวลาวันไหนอยากทาปากแดงเด่นๆแล้วอยากแต่งตาให้น้อยที่สุด สีนี้คือสีที่เราหยิบมาทาทั้งเปลือกตาบ่อยที่สุด แล้วก็เอาสีน้ำตาลเนื้อแมทอะไรก็ได้มาคัดเบ้าเบาๆแค่นี้เอง เป็นการแต่งตาที่ง่ายมากๆ เขียนอายไลเนอร์ ติดขนตา จบเลย ตาจะดูไม่เยอะเกินไป แล้วไปทาปากแดงให้เนี้ยบๆ อื้อหือ..จะบอกว่าปังมาก เป็นลุคปากแดงกันตายอีกลุคนึงเลยนะ อ่ะเล่าต่อๆ ตอนนั้นที่ไปซื้อที่ central world เค้ายังบอกของไม่มีในสต๊อคด้วยซ้ำเพราะมันไม่ฮิต แต่นี่ไม่ละความพยายามจ้ะ ไปที่พารากอนต่อ เค้าบอกว่ามีจ้า นาทีนั้นนี่ดีใจมากไม่ได้เว่อร์ พี่นี่รีบซื้ออีกสองเลยครับ! เราไม่ค่อยซื้ออายแชว์โดว์สีเดี่ยวๆนะ ถึงจะเป็นคนชอบแต่งตาก็จริง แต่นานๆทีมากๆที่จะซื้อสีเดี่ยวๆ ถ้าจะซื้อแปลว่าสีนั้นต้องมีลักษณะอะไรพิเศษจริงๆ สวย ไม่ซ้ำอะไรแบนี้ เช่น eye to kill ของ armani ซึ่งหาซื้อยากอีกละ อันนั้นชอบมาก คราวนี้ lunasol ทำสีนี้ออกมาได้ดีมากๆ ลงตัวทุกอย่าง ปลื้มที่สุดในโลก

credit : ต้องขอขอบคุณพี่พลอย onewayticket ตอนนั้นบังเอิญได้ดูคลิป favorite ของพี่ แล้วพี่บอกเฮ้ยตัวนี้ดีว่ะ เป็นมากกว่าอายแชว์โดว์ เอามาไล้สันจมูกก็สวยไม่เว่อร์ เอาไปปัดใต้ตาเพื่อความไบรท์แบบธรรมชาติอีกก็ยังได้ คือจะบอกว่ามันเป็นตามนั้นทุกอย่าง มันดีมาก อันนี้ซื้อตามพี่พลอยเลย ใช้ไล้ใต้ท้องคิ้วมาตลอดและใช้มาจนถึงทุกวันนี้ สิบเต็ม และขอร้องว่าอย่าเลิกผลิต เลิกผลิตจะไปประท้วงงงงงง!!!!



Primer & Base
Shu uemura performance glow
เบสลุงชู ทางแบรนด์เคลมว่าเป็นบำรุงในตัวด้วย ส่วนตัวไม่ได้มายด์ว่าจะบำรุงหรือไม่บำรุงอยู่แล้ว เพราะเราก็มีสกินแคร์ที่ใช้อยู่แล้วอ่ะเนอะ ตัวนี้มาเหนือความคาดหมายอีกแล้วอ่ะ ไม่คิดว่ามันจะดี แต่มันดี! เนื้อมันจะเป็นเนื้อครีมๆสีขาวแต่ไม่ขาวจั๊วะ ถ้าสังเกตดีๆมันจะมีเหมือนเม็ดสีเล็กๆอยู่ พอเกลี่ยลงบนผิวแล้วเม็ดสีนี้แหล่ะจะแตกตัวออกมาเป็นสีเนื้อๆ ทาลงบนผิวแล้วผิวจะดูโกลว์ๆทันที คือคำว่า luminious คงเป็นคำนิยามที่ดีที่สุดในการอธิบายลุคที่ได้จากการทาตัวนี้ มันทำให้หน้าดูฉ่ำขึ้นโดยที่ไม่มีชิมเมอร์หรือกลิตเตอร์ใดๆเลย คือผิวจะดูอิ่มน้ำสุขภาพดีมากๆ เบสที่มีเนื้อลักษณะนี้ ตอนแรกคิดไว้เลยนะ ว่ามันต้องทำให้หน้าฉันมันย่องเอาไปทอดไข่ดาวได้แน่ๆ แต่ผิด ผิดความคาดหมายทุกอย่าง มันไม่มีคุณสมบัติคุมมันนะ แต่เวลาทารองพื้นทับลงไปแล้ว เคยสังเกตดูระหว่างวันหน้าจะมันน้อยลงมาก ลองซับๆหน้าดูก็ตกใจ เฮ้ยทำไมหน้าไม่ค่อยมันเลย เดาว่าอาจเป็นคุณสมบัติที่เป็นสกินแคร์ของตัวนี้ด้วยที่ทำให้หน้าเราไม่ dehydrated ผิวเราเลยไม่ผลิตน้ำมันเพิ่มออกมามากเกินไป ฉะนั้นที่ทางแบรนด์เคลมว่าทำให้ผิวชุ่มชื้นไปอีก xx ชั่วโมง(จำไม่ได้ว่า 12 หรืออะไรนี่แหล่ะ)ซึ่งจากการใช้ก็คิดว่ามันน่าจะเป็นไปตามคำเคลมนะ และนอกจากนั้นมันทำให้ผิวดูสวยด้วย ไม่คอนเฟิร์มว่าใช้เดี่ยวๆแล้วลงแป้งฝุ่นจะเป็นยังไง แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ลงรองพื้นอยู่แล้ว และอยากได้เอฟเฟคทั้งหมดที่เราพูดมา ลองเลย ไม่ผิดหวัง ยิ่งคนหน้าแห้งนี่น่าจะยิ่งชอบเลยล่ะ ขนาดเราหน้ามันเรายังชอบเลย

Missha BB Boomer

มาทางฝั่งเกาหลี จริงๆไม่ค่อยถูกกับเมคอัพเกาหลีเท่าไหร่นะ มันไม่ใช่แนวเราอ่ะ มันใสและแบ๊วมากเกินไป 55555 วันนึงมีโอกาสได้ลองใช้เบสตัวนี้ เอฟเฟคที่ได้ค่อนข้างคล้ายกับ shu แต่มาด้วยราคาถูกกว่าไม่รู้กี่เท่า อันนี้หาซื้อในเมืองไทยก็ยังมี น่าจะอยู่ที่สามร้อยกว่าบาท ในขณะที่เบสลุงชูเกือบสองพัน (แต่ 50ml เลยนะ เบสทั่วๆไปแค่ 30ml เอง) สิ่งที่มิชช่าแตกต่างจากลุงชูคือเนื้อมันสีขาวอมชมพูอ่อนๆ และตัวนี้ไม่มีเม็ดบีดส์ที่เวลาเกลี่ยแล้วแตกตัวเป็นสีๆเหมือนลุงชู ทาไปบนหน้าก็ไม่ได้ลอยอะไรนะ ไม่ได้ทำให้หน้าชมพูอะไรขนาดนั้น แต่เอฟเฟคเรื่องผิววาวๆ ผิวสวยฉ่ำดิ้วอี้เกาหลีสไตล์ตัวนี้ทำได ไม่ทำให้หน้ามันขึ้น แต่ก็ไม่ได้ควบคุมความมันอะไร ระหว่างวันหน้าก็ยังผลิตน้ำมันปกติ ต้องลองไปตัดสินใจเอาเองว่าจะเอาตัวไหน ถ้าเลือกตัวนี้ก็ขยันซับหน้าหน่อยแค่นั้นเอง เพราะราคาถูกกว่าเยอะมากกกก

Hourglass mineral veil primer

ตัวนี้นี่ยอมรับว่าอิทธิพลมาจากโมเมพาเพลินจ้า ปกติเราไม่ได้ซื้อของตามโมเมนะ เพราะเราเป็นคนที่ซื้อพวกเมคอัพเยอะอยู่แล้ว ชอบลองเองเจ็บเอง แต่ตัวนี้ไม่รู้อะไรมาดึงดูด สั่งพรีออเดอร์ทันทีที่ดูคลิปโมเมจบ 555555555 และมันดีจริงๆค่ะคุณ ใครที่ชอบผิวฉ่ำวาวดูสุขภาพดีแบบเอฟเฟคที่ได้ในเบสสองตัวบนคงต้องข้ามตัวนี้ไปเลย HG เป็นเนื้อสีขาวเหลวๆที่มีซิลิโคนค่อนข้างมาก และแน่นอนมันต้องทำให้หน้าเรียบเนียน คือเอฟเฟคที่ได้จะเป็นผิวที่เรียบๆเนียนๆ สไตล์ไพรเมอร์ฝรั่ง ไม่มีความวาว ฉ่ำน้ำ สุขภาพดีใดๆ ไม่ใช่ฟีลเบสเกาหลี ถ้าลงรองพื้นต่อ ระหว่างวันจะพบว่าผิวคุณจะไม่ได้ดูเกาหลีสุขภาพดีอย่างสองตัวบน แต่ผิวจะดูแมท ดูสะอาด เรียบ เนียน ที่สำคัญมันคุมมันได้ดีมากที่สุดในบรรดา primer คุมมันหลายๆตัวที่ได้ลองมา
และต้องขอโทษทุกคนด้วย ตัวนี้ sephora ไทยยังไม่เอาเข้ามานะ pre-order เอาจ้า
ตัวตายตัวแทนที่แนะนำคือ mac prep+prime นะ อาจจะคุมมันดีไม่เท่า และแอบมีชิมเมอร์ละเอียดๆ ที่ทาแล้วดูไม่ออกหรอกว่ามีชิมเมอร์(ซึ่งนั่นเราถือว่าคือข้อดี) เรื่องทำให้เครื่องสำอางติดทนขอคอนเฟิร์มว่าไม่แพ้กัน แต่เรื่องคุมมันแมคยังห่างอยู่


Foundation
หมวดนี้เป็นอะไรที่ยากมากๆ เนื่องจากเป็นคนซีเรียสกับเรื่องเบสเมคอัพพอสมควร เพราะผิวดีทำให้เรามีชัยไปกว่าครึ่ง เอาจริงๆถ้าลงเบสเมคอัพดีๆ ทุกอย่างก็ดูเพอร์เฟคต์เลยนะ ดังนั้นจะมีรองพื้น 10 ขวด++ (เอาจริงๆ 20น่าจะถึง ไม่กล้านับ กลัวเป็นลม 55555) อยู่ที่บ้าน
ถามว่าทำไมต้องมีเยอะขนาดนี้ เพราะว่าเอฟเฟคของแต่ละตัวมันต่างกัน คุณสมบัติและระดับความปกปิดก็ต่างกัน แต่ละช่วงผิวเราเปลี่ยนสภาพไปเรื่อยๆ บางช่วงหน้าเยินนอนน้อย บางช่วงแพ้มาสิวบุก เราจะเลือกใช้รองพื้นให้เหมาะกับสภาพผิวช่วงนั้นๆ

เทรนด์ปีที่ผ่านมาเน้นให้เผยผิวซะส่วนใหญ่ ดังนั้นตัวที่ตัดสินใจให้เข้ารอบเลยมาจากค่าย Lancome นั่นเอง

Lancome teint miracle / Lancome maqui miracle
ในรูปมีไม่ครบนะ มันหมดแล้วยังไม่ได้ไปซื้อ เหลือแค่นี้อ่ะ 555555
จะบอกว่ารักพี่เสียดายน้องก็ได้ คือคุณสมบัติมันแทบจะไม่ต่างกันเลย เพราะมันผ่องมากกกก ก.ไก่ล้านตัว ต่างกันตรงความหนานิดหน่อย คือ maqui จะปกปิดมากกว่านิดนึง แต่เอาจริงๆนะ มันบางเบามากทั้งคู่อ่ะ
เอาเป็นว่าให้ความปกปิดระดับ light ละกัน รอยสิวที่จางๆพอปิดได้อยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นเทคนิค+อุปกรณ์ที่ใช้ในการลงรองพื้นมีส่วนสำคัญเหมือนกันนะ
รองพื้นตัวเดียวกันแต่มีวิธีลงต่างกัน การปกปิดก็ต่างกัน ไว้เรื่องการลงจะมาแชร์ในแบบของเราอีกที
ส่วนเรื่องสี เฉดสีที่ไทยนำเข้าน้อยมีไปหน่อย เราซื้อ O-03 มา มันขาวไปนิดนึง แต่ไม่น่าเกลียด เพราะผ่องกว่าผิวเล็กน้อย คิดว่าขวดใหม่ที่กำลังจะไปซื้อคงเป็นเบอร์ O-04
(คือน่าจะเป็นเบอร์เข้มสุดเลยหรือเปล่าไม่แน่ใจ ดังนั้นใครผิวคล้ำกว่าเราขอให้ลองไปเทสต์ดูก่อน เลือกดีๆ หรือถ้าอยากได้สีเข้มๆคงต้องไปซื้อจากประเทศอื่นไปเลย -_-)

ส่วนตัวได้ซื้อรุ่นใหม่ที่ออกมาไม่นานไม่อีกรุ่นคือรุ่น Blanc miracle อันนี้ผ่องมาก แต่ขาวเกินไปมาก
เอาเป็นว่าสี O-04 ที่เราควรจะใช้ได้มันกลับใช้ไม่ได้ เพราะขาวไป แต่ในเมื่อซื้อมาแล้ววันไหนใช้ตัวนี้นี่คือต้องใช้เทคนิคลงรองพื้นสองสีมาลงบนหน้า ลงเดี่ยวๆไม่ได้เลย ขาวไปจริงๆ T_T

พูดถึงคุณสมบัติตัว teint ที่เราชอบต่ออีกนิด สำหรับคนที่ชอบงานผิวสวย งานผิวผ่อง ผิวดูมีออร่า ผิวสุขภาพดี ตัวนี้คือคำตอบเลยนะ แต่ถ้าชอบความแมท คุมมัน ขอให้ข้ามไปเลย เพราะไม่คุมมันเลย แต่ก็ไม่ทำให้หน้ามันเพิ่มขึ้น คนผิวแห้งน่าจะปลื้มเลยทีเดียว แต่สำหรับคนผิวผสม/มันที่อยากใช้ ลองเอาไป adapt ใช้กับเบส/ไพร์มเมอร์ที่เหมาะกับสภาพผิวดู

ซื้อต่อมั้ย : ซื้อค่ะ แต่เข้าไปดูในเว็บมันออกใหม่เป็นรุ่น new teint miracle น่าจะเป็น formula ใหม่รึเปล่า คงต้องไปลองดูที่เคาน์เตอร์ก่อน
จริงๆตัวที่อยากลองมีอีกตัวคือ Dior star เพราะเป็นรองพื้นแนวๆเดียวกัน เดี๋ยวลองแล้วจะมาเปรียบเทียบให้ดูว่าอันไหนโดนกว่ากัน

Loose Powder
ขอแยกออกเป็นสองตัว คือ matte กับ shimmer

Nars - translucent crystal
หลายๆคนต้องคิดในใจว่าถ้าผิวมัน ต้องชอบแป้งฝุ่น LM สุดฮิตแน่ๆ และแน่นอนเราก็ชอบ เพราะว่ามันคุมมันได้ดี เนื้อค่อนข้างละเอียด ที่สำคัญมันทำให้ผิวดูแมท ซึ่งเป็นลุคที่เราชอบด้วย แต่ด้วยเอฟเฟคที่ได้นั่น มันแมทจนดูด้านเกินไป (แต่บางวันก็อยากได้ลุคแมทๆด้านๆแบบนี้นะ) ดังนั้นตัวที่มาวินในปีนี้คงต้องยกให้ nars เค้าล่ะ เป็นแป้งที่ไม่อยู่ในกระแสอีกแล้ว แต่มันดี๊ดีอ่ะ ให้ลุคแมทเหมือนกัน แต่เป็น soft-matte อ่ะ คือไม่แมทจนเกินไปนั่นเอง มันแอบมีชิมเมอร์ละเอียดๆอยู่เพียงเล็กน้อย แทบมองไม่เห็นซึ่งทำให้เอฟเฟคที่ออกมาไม่ดูด้านจนเกินไป ผิวจะดูสว่างขึ้นแบบธรรมชาติเรื่องคุมมันอาจจะสู้ LM ไม่ได้ แต่ก็คุมได้ดีประมาณนึง เนื้อแป้งละเอียด ดูด้วยสายตาเป็นสีขาวเลย แต่จริงๆมันเป็น translucent ดังนั้นไม่ต้องห่วง ใช้ได้ทุกสีผิว มีเป็นแบบอัดแข็งด้วย แต่เราชอบแบบฝุ่นมากกว่า แต่ถ้าเดินทางบ่อยๆ แบบอัดแข็งก็เป็นทางเลือกที่ดีเลยทีเดียว

Lamer - translucent
อันนี้ซื้อมานานมากแล้ว ไม่รู้เปลี่ยนแพคเกจไปหรือยัง ถ้าเปลี่ยนจะดีใจมาก เพราะของเก่าเป็นกระปุกแก้วโคตรจะหนักเลยค่ะ T_T แต่ด้วยคุณสมบัติของมัน นี่ยอมใจให้เลย ไม่ได้คุมมันนะ แต่เป็นแป้งที่โคตรจะละเอียด แอบอุทานในใจเบาๆไม่รู้ทางโรงงานใช้อะไรโม่แป้ง ทำไมละเอียดได้ขนาดนี้ 55555 ตัวนี้เป็นแป้งวิ้งนะ shimmer กระจาย แต่เป็น shimmer ผู้ดีนะ shimmer ละเอียดสวยมากๆ ไม่ลิเกแน่นอน สัมผัสที่ได้จากแป้งตัวนี้คือ ใช้แปรงปัดลงไปปุ๊ป เฮ้ยมัน melt ไปกับผิวเลยอ่ะ คือผิวจะดูโกล์วแบบผู้ดีเว่อร์มากกกกก นี่รัก วันไหนที่อยากมีงานผิวโกล์วต้องตัวนี้เลย รักมากแม้ราคาจะไม่ชวนให้รัก ฮืออออ


Shading
Tom ford shade & illuminate สี intensity one
ในไทยมีสีเดียว ตัวนี้เพิ่งซื้อได้ไม่นานเลยจำราคาได้ ค่าตัวแพ๊งแพง 2600THB ไม่รู้จะแพงไปไหน หน้ามืดซื้อมาได้ยังไง แต่พอได้ลองแล้วรู้สึกชอบมากกกก เป็นเฉดดิ้งกับไฮไลท์แบบครีมนะ ตัวไฮไลท์ยังไม่ได้ทดลองอะไรมาก เพราะชอบใช้แบบฝุ่นมากกว่า แต่ตัวเฉดดิ้งนี่สิ ให้เต็มค่ะ ลองมาหลายตัวรู้สึกชอบตัวนี้ที่สุด เพราะมัน pigmented มาก ที่จริงมีสองเฉดแต่ในไทยนำเข้ามาแค่เฉดเดียว
ส่วนตัวคิดว่าสีเฉดดิ้งค่อนข้างเข้มนะ แต่ก็เกลี่ยง่าย คนที่ขาวๆก็ใช้แต่น้อยละกัน ค่อยๆเกลี่ย สิ่งที่ชอบนะความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆคือหนึ่งแพคเกจมันเริ่ดมาก หรูหรา มีระดับสมราคา มีซองกำมะหยี่ให้ด้วย สองทาก่อนลงแป้งฝุ่น(หลังลงรองพื้น)ก็ได้ จะทาหลังลงแป้งฝุ่นก็ไม่เป็นคราบ
จบ ไม่อยากอธิบายอะไรมาก เอาเป็นว่าชอบด้วยอินเนอร์ส่วนตัวล้วนๆ ตัวที่ถูกกว่านี้ก็มี ถ้าไม่บ้าซื้อแบบเรา ไปหาตัวที่ถูกกว่านี้ก็จะดีนะ
(ตอนแรกจะให้ชาแนลกระปุกด้านขวา แต่เปลี่ยนใจ เพราะทอมฟอร์ดชนะในหลายๆด้าน เช่นหนึ่งคือเรื่องกลิ่น ของชาแนลมันมีกลิ่นหอมๆกลิ่นเฉพาะของเค้าอ่ะ คือไม่ชอบเท่าไหร่ แต่อันนี้ไม่มี สองคือเรื่องสี ตัวนี้เข้มกว่า แตะขึ้นมาแล้วเกลี่ยกับผิวไปเลย ไม่ต้องบิวท์สีมาก ส่วนชาแนลสีอ่อนกว่าต้องบิวท์สีหน่อย สามคือแพคเกจ ทอมฟอร์ดเป็นตลับแบน มีกระจกพกง่าย ขนาดเล็กกว่า แต่ชาแนลมาเป็นกระปุกใหญ่เลย ไม่มีกระจกด้วย พกยากไปนิด เอาเป็นว่าชอบค่ายไหนไปเลย ดีทั้งคู่ แต่ถ้าถามเราตอนนี้ชอบทอมฟอร์ดมากกว่า)

เอาจริงๆตัวนี้ไม่จำเป็นสำหรับทุกคน ถ้าคุณไม่ใช่คนแต่งหน้าเยอะ แต่งหน้าแน่น ต้องเฉดดิ้งให้หน้ามีกรอบชัดเจน ไม่ต้องใช้หรอก ตัวเราเองเรายังไม่ได้ใช้ทุกวันเลย
แต่ถ้าวันไหนอยากเป๊ะมาก เฉดดิ้งนี่เป็นสิ่งแรกที่นึกถึงในบรรดาทุกตัวเวลาจะหยิบมาใช้ สิ่งที่สามารถใช้แทนกันได้คือรองพื้น/แป้งต่างๆที่มีสีเข้มกว่าหน้า แค่นั้นก็โอเคละ

ที่เห็นในตลับดูยุบไปไม่เยอะเพราะว่าก่อนหน้านี้ใช้แต่แบบฝุ่น พอมาใช้แบบครีมแล้วรู่สึกชอบแบบครีมมากกว่า เพราะมันคุมทิศทางของสีได้ง่าย แล้วแต่ถนัดด้วยแหล่ะ ถ้ารีบๆปัดๆ ใช้แบบฝุ่นก็ได้ the balm สี bahama mama เป็นทางเลือกของแบบฝุ่นที่ดี ไม่ติดส้มเลย เวิร์ค!


Hi-light
The balm - mary lou manizer
นี่ก็ใช้ได้นานลื๊มมมมม ไม่รู้เมื่อไหร่จะหมด แต่มันวาวสวยมาก ชิมเมอร์เยอะสุดๆ แต่ก็เป็นชิมเมอร์ที่ละเอียดมากๆ จนทำให้ผิววาวสวยงาม ไม่ใช่กลิตเตอร์ใหญ่ๆลิเกๆนะ มันวาวแบบผู้ดีอ่ะ (อีกละ 5555) ออกงานกลางคืนเอามาปัดตัวก็สวย ถ้าจะใช้ช่วงกลางวัน เอามาแตะช่วงโหนกแก้ม สันจมูก หน้าผากอะไรแบบนี้หน้าก็ดูมีมิติดี
ไม่คิดว่ามันจะฮิตเพราะใช้ตั้งแต่มันไม่ฮิต ตอนนี้หมดเคาน์เตอร์ประจำ ถ้าเอาตัวที่เอฟเฟคไปในแนวๆเดียวกันก็เป็น mac soft snd gentle แต่ก็นะ mac ก็เป็นตัวฮิตจ้ะ หมดประจำเหมือนกัน น้องไม่เข้าใจจริมๆ T_T เอาไว้หาตัวที่ดีเท่านี้ได้และไม่ใช่ตัวที่อยู่ในกระแส หาซื้อได้ง่าย ไม่หมดบ่อยๆจะมาบอกกันอีกที



Signature Lipsticks!
ว่าจะไม่เขียนถึงหมวดนี้แล้วนะ เพราะลิปนี้มีเป็นร้อย -_- แต่เอาเป็นว่าขอยกตัวที่หยิบใช้บ่อยที่สุดและตัวที่ทุกคนถามถึงแล้วกัน

Lip Liner : Burberry #05 Brick red
ขอพูดถึงลิปไลเนอร์ก่อน อันนี้เป็นอันที่ปลื้มมาก เนื้อดีมากๆ มีหลายคนอยากให้แนะนำลิปแดงให้หน่อย
คือขอแนะนำเป็นตัวนี้แทน เพราะว่าเวลาทาลิปสีเข้มๆอย่างสีแดง ต้องอาศัยความเนี้ยบในการทามากๆ ขอบปากต้องคม ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นคือพู่กันทาปาก บางคนไม่มีไง เลยแนะนำว่า ถ้าอยากจบในอุปกรณ์ชิ้นเดียวเอาตัวนี้ไปเลย เนื่องด้วยมันเป็นลิปไลเนอร์ มันเลยสามารถเอามาวาดของปากก่อนแล้วระบายทั่วทั้งปากได้ และให้ลุคแมท ส่วนมากจะไม่แนะนำให้ลงลิปไลเนอร์ทั่วทั้งปากเดี่ยวๆหรอก เพราะจะทำให้ปากแห้ง แต่ตัวนี้ไม่เป็นนะ ทาทั่วปากได้สบาย ไม่แห้งเท่าทั่วๆไป เนื้อดีมาก พู่กันทาปากไม่ต้อง มีกบเหลาแถมในตัว ขอเตือนว่าอย่าเอากบยี่ห้ออื่นมาเหลา ไม่งั้นพังนะคะ เพราะกบตัวนี้เป็นกบเฉพาะที่สามารุถเหลาดินสอที่มีลักษณะเป็นแท่งเหลี่ยมๆแบบนี้่ได้ เคยเอากบของแบรนด์อื่นมาเหลาทีนึง ผลคือ..พังเลยจ้า T_T

brick red มันเป็นสีแดงที่ไม่ใช่แดงสว่าง ไม่ใช่แดงแบบดาร์คๆ มันติดน้ำตาลนิดๆ คือเราว่ามันพอดี เหมาะมากกับลุค formal ขอให้จำไว้ว่าลิปแดงมีหลายเฉด และแต่ละเฉดให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันนะ ให้ตัวนี้เพราะมันลงตัวมากๆจบในแท่งเดียว ส่วนเฉดมันมีอยู่ไม่กี่เฉด มีแดงอยู่เฉดเดียว(ไม่รู้ตอนนี้มีเพิ่มมามั้ย ถ้ามีรบกวนบอกนะคะ พี่จะไปตำ!) คือถ้าอยากได้แดงเฉดอื่นคงต้องข้ามตัวนี้ไปเลย

Stila #Beso
ตัวนี้เป็นลิปสติคเนื้อลิคขวิด เป็นเนื้อแมทเหมือนกัน แต่จะเป็นสีแดงที่เป็นแดงสว่าง เป็น warm red ซึ่งถ้ามองในแสงธรรมชาติมันจะติดส้มนิดนึง นิดเดียวจริงๆ (ดูไม่ค่อยออกว่าติดส้ม จนกระทั่งเอามาสวอทซ์เทียบกับแดงอื่นๆ)
applicator ก็ทำมาได้ดี มือนิ่งๆสามารถเอามาทาปากโดยไม่ต้องใช้พู่กันมาเก็บรายละเอียดอีกทีก็ยังได้ ถ้าพูดถึงเรื่องความแมท ตัวนี้แมทกว่า burberry ตัวบน ทาไปซักพักแล้วมันจะกลายร่างจากเนื้อครีมเป็นเนื้อแมท ด้วยความที่แมทกว่า ตัวนี้ก็แห้งกว่าเล็กน้อย แต่ถือว่าโอเค ทำมาได้ดีสำหรับลิปแมท

Illamasqua #Scandal
พูดถึงลิปแบบแมท จะข้ามแบรนด์นี้ไปไม่ได้ โดยปกติแล้วความแมทมักจะมาพร้อมกับความแห้งและตกร่อง ถ้าเทียบกับลิปสติคแบรนด์ดังอีกแบรนด์ที่มีสีให้เลือกเยอะมากๆแล้วเนี่ย เราให้ illamasqua ชนะขาดเลยนะ
เพราะมันแทบจะไม่แห้งและตกร่องเลย หรือถ้าเป็นก็เป็นน้อยมาก (ลิปสติคทุกชนิดที่เป็นลักษณะเนื้อแมท ต้องบำรุงปากให้ดีก่อนทานะ ไม่งั้นยังไงก็ตกร่องและเป็นคราบแน่นอน)
สีที่จะเป็นคราบได้ง่ายที่ควรเลี่ยงคือสีที่มีเม็ดสีของสีขาวเยอะ หรือสีที่ออกนมๆนั่นแหล่ะ ยกตัวอย่างสีที่เรามีคือสี brink ของยี่ห้อนี่แหล่ะ มันเป็นส้มนมๆที่สวยมาก แต่ก็เป็นคราบพอสมควรเช่นกัน คืออันนี้ไม่ว่าอะไรนะ เพราะโดยมากลิปสติกที่มีลักษณะสีแบบนี้หาเนื้อที่แบบดีๆไม่เป็นคราบค่อนข้างยากอยู่)


และสีสุดท้ายที่จะพูดถึงของแบรนด์นี้ เป็นสีที่แนะนำมากๆ ทาได้ทุกวัน เป็นสีชมพูไบรท์ๆ คือสี scandal นั่นเอง เห็นเรามีลิปเยอะๆ(ร้อยอัพ -..-) แต่สีนี้ใช้เกือบหมด จะขึ้นแท่งที่สองแล้วนะ และเป็นสีที่เวลาไม่อยากทางปากแดงอยากแต่งตาน้อยๆ นึกลุคไม่ออก แต่อยากสดใส จะหยิบสีนี้ทุกครั้ง.. แน่นอนว่าเป็นเนื้อแมทอีกเช่นกัน เป็นสีชมพูสว่างที่ไม่สว่างจนเกินไป ที่เราคิดว่าทำได้ทุกสีผิวนะ ผิวขาวทาก็สวย ผิวคล้ำทาก็สวยมาก ส่วนตัวผิวสองสี คือผิวคนไทยทั่วๆไป ทาสีนี้ทีไรคนถามทุกครั้งว่าลิปสีอะไร คอนเฟิร์มว่าปากไม่ลอยแน่นอน แนะนำให้มีกันทุกคน

วิธีทาลิปให้ให้สวยที่สุด โดยเฉพาะลิปแมทๆแบบนี้ คือใช้สปาตูล่าปาดเนื้อลิปออกมาเล็กน้อย และใช้พู่กันขยี้ให้แตกก่อนทา เนื้อมันจะเหลวลงนิดนึง ทีนี้ทาง่ายเลย รับรองว่าสวยแน่นอน ดีกว่าทาจากแท่งมาก ลองใช้วิธีนี้กันดู เอาไปประยุกต์ใช้กับลิปแมทแบรนด์อื่นๆก็ได้

อาจจะสงสัยว่าทำไมไม่พูดถึงสีนู้ดเลยหรือสีอื่นๆเลย คือเป็นเพราะว่าเราอยากเลือกแท่งที่สามารถทาได้ทุกวันเป็น everyday look จริงๆ อย่างสีนู้ดถ้าไม่แต่งตาเข้มๆบางทีก็ดูป่วย ซึ่งในชีวิตประจำวันของทุกๆคน เชื่อว่าคงไม่มีใครมานั่งบล็อคตาเข้มทุกวันแน่ๆ เลยอยากเลือกอะไรที่สามารถใช้ได้จริงและทุกคนใช้แล้วรอด (เลือกยากมากนะลิปเนี่ย กว่าจะออกมาเป็นสามแท่งนี้ได้ นี่คิดนานมาก เพราะชอบเยอะ)
ส่วนที่แนะนำสีแดง ทั้งๆที่ไม่มีใครทาทุกวัน (แต่ดิฉันทาจนเป็น signature ไปแล้วค่ะ เกือบทุกวัน ฮ่าๆ) แต่มันเป็นสีที่แต่งตาน้อยๆก็สวย อยากออกงานกลางคืนทาตาเข้มๆ ทาปากแดงก็สวย
สีแดงมีแดงหลายเฉด ซึ่งแต่ละเฉดก็ให้อารมณ์และลุคที่ต่างกัน แนะนำสีแดงขึ้นมาเพราะส่วนตัวคิดว่าผู้หญิงทุกคนทาได้ เพียงแค่เลือกเฉดที่เหมาะสมให้เข้ากับตัวเอง
แนะนำให้มีสีแดงติดไว้คนละแท่ง มันเปลี่ยนลุคได้จริง เป็นสีที่ดึงความเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นตัวของตัวเองออกมาได้ ขอให้เลือกเฉดให้เหมาะ แค่นั้นจบเลย ต้องมีคนละหนึ่งแท่งเป็นอย่างน้อยติดบ้านไว้!

ส่วนตัวเฉพาะลิปสติคสีแดงเนี่ย มีมากกว่า 20 แท่ง แต่มั่นใจมากว่าไม่มีเฉดไหนซ้ำ สิ่งที่จะทำในอนาคตแน่นอนเลยคือสวอทซ์สีลิปสติคสีแดงให้ดู พร้อมรีวิวเล็กๆความเห็นส่วนตัวเล็กน้อย รอติดตามกันนะ

ปล. จบแล้ว ขอบคุณทุกคนนะคะที่ติดตามรีวิวเวิ่นเว้อจนจบ ไม่ต้องสงสัยว่าอ้าวบลัชออนหายไปไหน มาสคาร่าล่ะ? คือบลัชออนเนี่ย มีเยอะเว่อร์มาก ซึ่งใช้ทุกตัวพอๆกันจริงๆ แค่หยิบให้เข้ากับสีลิป ลุคแต่งหน้าแค่นั้นเอง อาจจะมีรีวิวในอนาคตถ้าไม่ขี้เกียจ ฮ่าๆ ส่วนมาสคาร่าเปลี่ยนไปเรื่อยๆค่ะ เพราะเปลี่ยนบ่อยมาก ไม่ค่อยซีเรียส เน้นขนตาปลอมซะมากกว่า

มีอะไรสงสัยอยากถาม ถามมาเลยน้า ถ้าตอบได้จะรีบตอบเลย

ขอบคุณที่ติดตามกันอีกครั้งค่ะ :)

CONVERSATION

Back
to top